Search

#เมื่อวิกฤติถึงขีดสุดเราทุกคนต้องช่วยกัน
เมื่...

  • Share this:

#เมื่อวิกฤติถึงขีดสุดเราทุกคนต้องช่วยกัน
เมื่อโควิดระบาดหนักคนไข้ต้องนอนรอเตียงโรงพยาบาลหลายวัน จึงเป็นที่หน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องออกมาร่วมด้วยช่วยกันรักษาคนไข้เพื่อให้วิกฤติครั้งนี้ผ่านพ้นกันไปได้

#โรงพยาบาลรามาเปิดHospitelเพิ่ม

เนื่องจากHospitelแรกที่เปิดได้ขยายการรับผู้ป่วยจนเต็มกำลังแล้ว จึงต้องเปิดเพื่อขึ้นอีกแห่งเพื่อที่จะรับคนไข้ได้มากขึ้น ซึ่งในตอนแรกเราจะรับคนไข้ติดเชื้อโควิดที่อาการน้อยไว้รักษาใน Hospitel เรียกว่ากลุ่มคนไข้สีเขียว คือคนไข้ที่ไม่มีความเสี่ยงเท่าไร และไม่มีอาการตอนแรกรับมากนอกจากไข้และไอเล็กน้อยและ X ray ปอดยังปกติดี

แต่เพราะคนไข้ติดเชื้อโควิดพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้คนไข้กลุ่มสีเขียวนี้ต้องให้อยู่ที่บ้านแทน เรียกว่าเป็นระบบ Home isolation ซึ่งจะมีชุดยา อาหารและการติดตามอาการจากทีมแพทย์พยาบาลในแต่ละเขตที่รับดูแลอยู่

#หากเริ่มมีอาการหรือมีความเสี่ยงจึงได้นอนHospitel

เนื่องจากมีความสามารถในการรับคนไข้ได้จำกัด จึงต้องเลือกคนไข้ที่ไม่มีที่จะกักตัวแล้วจริงหรือคนไข้ที่มีความเสี่ยงหรือมีอาการและมีแนวโน้มว่าเชื้อจะลงปอดไว้รักษาใน Hospitel เรียกว่ากลุ่มผู้ป่วยสีเหลือง โดยจะมีมาตรฐานการดูแลไม่ต่างจากการนอนโรงพยาบาล ซึ่งทำให้เนื้องานของแพทย์และพยาบาลในการดูแลคนไข้มีมากไปด้วย

#เมื่อมาถึงHospitelคนไข้จะต้องทำอะไรบ้าง

ก็จะมีการแนะนำเรื่องการดูแลตัวเองและการที่ต้องวัดค่า Oxygen ส่งให้แพทย์และพยาบาล รวมถึงวัดไข้และอาการที่ต้องสังเกตเช่นอาการไอและอาการเหนื่อยหายใจไม่ทัน ซึ่งก็จะมีแพทย์พยาบาลโทรถามอาการอย่างน้อยวันละสองครั้ง และคนไข้สามารถโทรคิดต่อหรือ Line ได้ตลอดเวลา ซึ่งข้อมูลทั้งหมดทีมแพทย์พยาบาลก็จะต้องบันทึกลงแฟ้มเวชระเบียนไม่ต่างจากการนอนโรงพยาบาลจริง ดังนั้นงานเอกสารมันจะค่อนข้างเยอะ แต่ก็ต้องทำเพื่อให้มาตรฐานเป็นตามที่กำหนด

#แพทย์และพยาบาลต้องทำงานหนักมาก

ปกติแพทย์หนึ่งคนดูแลคนไข้ 40- 50 คนก็ถือว่ามากแล้ว รวมถึงพยาบาลที่ดูแลคนไข้ประมาณ 20 คนก็จะตึงมือมากแล้ว เหตุผลเพราะพยาบาลต้องถามอาการ จดค่าต่างๆ และเอาลงมาบันทึกในฟอร์มปรอทและใบข้อมูลทั้งหลายในแฟ้มเวชระเบียน ซึ่งจะมีทั้งประวัติ ใบการสั่งการรักษา ใบรายการยาที่คนไข้ได้ ใบสรุปอาการในแต่ละวัน ใบรับรองแพทย์ ใบสรุปการรักษา ใบแสดงความเห็นของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในกรณีที่อาการผู้ป่วยแย่ลง แต่ตอนนี้คนไข้ยิ่งมาก ตอนหมอไปอยู่เวร แพทย์คนหนึ่งต้องดูคนไข้ 80 คน พยาบาลต้องดูคนไข้ 40 คน ซึ่งมัน overload จริง

ที่ข้อมูลทุกอย่างต้องละเอียดและมีระเบียบเพราะทั้งแพทย์และพยาบาลต้องหมุนเวียนขึ้นมาอยู่เวรดูแลคนไข้ ดังนั้นข้อมูลต้องอ่านเข้าใจง่ายและทำให้แพทย์คนต่อไปที่มารับเวรสามารถรักษาต่อเนื่องได้อย่างถูกต้องและไม่ผิดพลาด รวมถึงการที่คนไข้มีจำนวนเยอะมาก ข้อมูลเหล่านี้ยิ่งต้องทำให้ถูกต้อง

#แผนการรักษาที่เปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละวัน

คนไข้ที่ติดเชื้อโควิดแต่ละคนอาการไม่เท่ากัน การรักษาก็ไม่เหมือนกัน บางคนต้องได้ยาต้านไวรัส Favipiravir บางคนต้องได้ Steroid ด้วย บางคนต้องมีการติดตามดู X-ray ปอด และแต่ละคนก็มีการรักษาที่จำเพาะ ทำให้การรักษาต้องดูให้มั่นใจก่อนจะสั่งการรักษาในแต่ละคน หรือบางคนอาจจะมีอาการหนักขึ้นจนต้อง refer เข้าโรงพยาบาล ที่สำคัญเราจะใช้โทรติดตามอาการ จึงต้องใช้เวลาในการพูดคุยนาน เพื่อทำให้คนไข้คลายกังวล ดังนั้นในเนื้องานจะมีรายละเอียดมาก ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่คนที่อยู่เวร Hospitel ส่วนใหญ่แทบจะไม่มีเวลานั่งพักหรือทานข้าวกันเลย

#ในขณะที่คนไข้มากขึ้นจนต้องเปิดHospitelอีกคนทำงานก็น้อยลง

อย่างที่เป็นข่าวคือโรงพยาบาลใหญ่ต้องปิดแผนกเพราะมีเจ้าหน้าที่ติดเชื้อทำให้บุคลากรที่ทำงานเริ่มไม่พอ แต่คนไข้โควิดก็มีจำนวนมากขึ้น ซึ่งถ้าเราไม่รับคนไข้ไว้รักษา การระบาดของเชื้อก็จะแพร่ขยายไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นทางรพ.รามาจึงต้องขอให้บุคลากรทุกคน ที่แม้จะไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาคนไข้โควิดโดยตรง ก็สามารถมาช่วยกันดูแลผู้ป่วยโควิดได้ เพราะคนทำงานน้อยลงไปทุกวันตามจำนวนคนที่ติดเชื้อและกักตัวในโรงพยาบาล

#จะผ่านวิกฤติครั้งนี้ได้ต้องช่วยกัน

-เราเองต้องสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีน ไม่ว่าจะเป็นตัวไหน เพราะยังไงมันก็มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่พอได้ ซึ่งดีกว่าการที่รอคอยวัคซีน mRNA ที่ไม่รู้จะมาเมื่อไร

-การดูแลตัวเองไม่ให้ติดเชื้อโควิดก็ยังต้องเคร่งครัดที่สุดในเวลานี้

#หากเกิดติดเชื้อโควิดโปรดเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานเต็มที่

โปรดอย่าใช้อารมณ์หรือคำพูดที่รุนแรงเพราะไม่ได้ช่วยการรักษาดีขึ้นแต่อย่างใด และมีแต่ทำให้เกิดความขุ่นมัวทั้งสองฝ่าย อย่าลืมว่าเรากำลังต่อสู้กับโควิด ไม่ใช่ต่อสู้กันเอง

คนไข้จะมีฐานะอะไร หรือทำหน้าที่การงานอะไร หรือแม้แต่เชื้อชาติอะไร เราก็รักษาอย่างเต็มที่เหมือนกัน พอเข้ารับการรักษาที่ Hospitel แล้วเราก็มีมาตรฐานเดียวกันในการดูแล ดังนั้นอาจจะต้องอดทนกับความไม่สะดวกสบายและงดการทำตามใจตัวเองบ้าง กฎเกณฑ์ทั้งหลายมีไว้เพื่อให้คนไข้อยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย เวลามีคนไข้ที่ไม่เข้าใจหรือดึงดันจะทำอย่างที่ตัวเองต้องการ ก็จะทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนลำบากมาก

#จะรักหรือเกลียดรัฐบาลการรักษาก็เหมือนกัน

เพราะเชื้อโควิดไม่ได้เลือกปฎิบัติกับใครเลย คือทุกคนสามารถติดเชื้อได้ และเชื้อลงปอดและเสียชีวิดได้ ดังนั้นเวลาการรักษาเราจึงไม่มีเรื่องของการเมืองมาเกี่ยวข้องและไม่ได้โทษว่าติดเชื้อเพราะความผิดใคร แม้ในใจเราอาจจะไม่ชอบการบริหารของรัฐบาลแต่กับคนไข้ทุกคนเราก็รักษาแบบเดียวกันแน่นอน

#โปรดเชื่อการรักษาของแพทย์และพยาบาลที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าคำแนะนำจากโซเชี่ยล

มีบางครั้งที่คนไข้เชื่อข้อมูลจากโซเชี่ยลหรือหมอที่รู้จักกันมากกว่าทีมผู้รักษาจริง และมากดดันให้ทีมแพทย์และพยาบาลต้องรักษาตามที่ตัวเองต้องการ ซึ่งตรงนี้ก็สร้างความลำบากใจให้กับคนที่ทำงานมาก เพราะแนวทางการรักษาทุกอย่างล้วนแต่มีการกำหนดข้อบ่งชี้ไว้ชัดเจนและมีการปรับปรุงตลอดเวลา จึงขอให้เชื่อแพทย์และพยาบาลที่ทำงานจริงนะครับ

#แม้ว่ากลัวแต่เราก็ต้องทำ

ทุกคนกลัวการติดเชื้อ แต่ในเมื่อคนไข้ที่ติดเชื้อมีมากขึ้นแบบทวีคูณ ในขณะเดียวกันทีมแพทย์และพยาบาลที่เกี่ยวข้องก็อ่อนล้าและติดเชื้อกันไปเป็นระลอก ทำให้ตอนนี้บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนที่ยังไหว ต่างก็ร่วมแรงร่วมใจอาสามาช่วยคนไข้โควิดกัน มิเช่นนั้นปัญหาการระบาดนี้จะไม่มีวันจบและเราก็ไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้สักที

#หากอยากให้กำลังใจแก่ทีมแพทย์และพยาบาล

สามารถติดต่อได้ที่มูลนิธิรามาธิบดี Line: @RamaFoundation โทร 02201-1111 หรือแค่นำอาหารอร่อยมาให้ที่ Hospitel ก็เป็นกำลังใจอย่างมากแล้ว

ซึ่งรามาเองมี Hospitel สองแห่งที่ โรงแรม Century Park ที่ถนนราชปรารภ ใกล้กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และ โรงแรม Grand Tower Inn ที่ถนนพระราม 6 ซึ่งตรงนี้ไม่จำเป็นต้องขอเบอร์โทรติดต่อเพราะไม่มีใครสะดวกรับสาย แค่ฝากเจ้าหน้าที่โรงแรมเขาก็จะนำไปให้ทีมแพทย์พยาบาลและบุคลากรที่เกี่ยวข้องเอง ซึ่งน่าจะมีเจ้าหน้าที่ทำงานประมาณ 30-40 คนต่อเวรครับ

#รามาร่วมใจสู้ภัยโควิด เราจะต้องรอดไปด้วยกันครับ


Tags:

About author
เพจด้านการแพทย์ที่มุ่งให้ความรู้และช่วยเหลือผู้ที่ต้องการข้อมูลทางศัลยกรรมตกแต่งที่ถูกต้องตามหลักวิชาการและเชื่อถือได้โดยอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งโดยเฉพาะ ซึ่งมีประสบการณ์การศึกษาต่อและดูแลรักษาคนไข้ทั้งในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกามาเกือบยี่สิบปี ปัจจุบันเป็นสมาชิกของสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทยและสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ ติดตามอ่านบทความที่ผมเขียนได้ที่ http://drsurawejrama.wordpress.com/ นายแพทย์สุรเวช น้ำหอม ศัลยแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งโดยเฉพาะปัจจุบันเป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี รับผิดชอบเกี่ยวกับการเรียนการสอนนักศึกษาแพทย์และฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งรวมถึงการให้บริการรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาความผิดปกติบริเวณใบหน้าและศัลยกรรมตกแต่งทุกชนิดรวมถึงงานวิจัยที่มุ่งพัฒนามาตรฐานการดูแลผู้ป่วยของประเทศไทย จบการศึกษาแพทยศาสตร์บัณฑิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและศึกษาต่อเฉพาะทางด้านศัลยกรรมทั่วไปที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และด้านศัลยกรรมตกแต่งที่โรงพยาบาลรามาธิบดีหลังจากบรรจุเป็นอาจารย์แล้วได้ไปศึกษาต่อด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าที่ Chang Gung Memorial Hospital ประเทศไต้หวัน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ให้บริการด้านศัลยกรรมตกแต่งที่ใหญ่ที่สุดในเอเซียและเป็นที่หมอเกาหลีมาดูงานการผ่าตัดใบหน้าจำนวนมาก หลังจากศึกษาต่อที่ไต้หวันเป็นเวลาหนึ่งปีก็ได้ศึกษาต่อเพิ่มเติมที่หน่วยศัลยกรรมตกแต่ง University of Washington, Seattle ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยด้านแพทยศาสตร์ระดับ Top10 ของอเมริกาและมีความโดดเด่นด้านการวิจัยซึ่งหลังจากนายแพทย์สุรเวชได้ศึกษาต่อหนึ่งปีก็ได้รับทุน fellowship จาก National Institutes of Health(NIH) ของอเมริกาให้ทำงานด้านการวิจัยด้านสเตมเซลและการรักษาแผลเป็นอีกเป็นเวลาสามปีมีผลงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับโลกและได้รับการชักชวนจาก Professor หลายท่านให้ทำงานต่อที่อเมริกาแต่เนื่องจากความต้องการจะทำงานเพื่อช่วยเหลือคนไทยจึงได้ปฎิเสธข้อเสนอเหล่านั้นไป ปี 2554 นายแพทย์สุรเวชได้เดินทางกลับมาทำงานที่โรงพยาบาลรามาธิบดีและได้พัฒนาโครงการวิจัยเกี่ยวสเตมเซลจากไขมันการวิจัยเพื่อป้องกันแผลเบาหวานและการให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับศัลยกรรมตกแต่งผ่านสื่อของRama Channel, หนังสือพิมพ์เดลินิวส์, มติชน, นิตยสาร Cosmetics, นิตยสาร Allure, นิตยสารHug(7-11) นอกจากนั้นยังรักษาผู้ป่วยทุกระดับชั้นเช่นลุงกุ๋ยผู้ป่วยที่มีใบหน้าพิการไม่สามารถหลับตาและทานอาหารได้ให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติและเป็นได้ให้สัมภาษณ์ในรายการเรื่องเล่าเช้านี้และเรื่องเด่นเย็นนี้ทางไทยทีวีสีช่อง3 ปัจจุบันนี้นายแพทย์สุรเวชให้บริการตรวจคนไข้ที่โรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นหลักและมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการให้บริการในโรงพยาบาลของรัฐให้เป็นที่พึ่งพาแก่ประชาชนทุกคนอย่างดีที่สุดโดยเสียค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุดและต้องการที่จะให้ประชาชนและผู้ป่วยได้รับความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับศัลยกรรมตกแต่งเพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจก่อนเข้ารับการรักษาโดยไม่ถูกบิดเบือนจากการโฆษณาและการตลาด ติดตามและพูดคุยกับนายแพทย์สุรเวชได้ที่ Website : http://drsurawejrama.wordpress.com/ Email : [email protected] FB page : https://www.facebook.com/drsurawejrama
Page for everyone who want straight talk about Cosmetic Surgery: A Guide for making informed decision and avoid useless treatments by Dr Surawej Numhom
View all posts